นักวิจัยจากญี่ปุ่นได้ทำวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ Nicotinamide Mononucleotide (NMN) เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด 5 เท่าและเพิ่ม Nicotinamide adenine dinucleotide (NAD+) ได้อย่างมีนัยสําคัญ
การให้ NMN กับหนูทดลอง พบว่ามีการเพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย, ระบบเส้นเลือดหัวใจ และระบบประสาทก็ดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทาน NMN จะช่วยเพิ่มระดับของ NAD+ ในเลือดของผู้สูงวัยได้อย่างชัดเจน และช่วยเพิ่มสมรรถภาพและความไวของอินซูลินในกล้ามเนื้อของผู้หญิงที่เป็นเบาหวานอีกด้วย
ดร.อูชิยามา และคณะวิจัย จากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Clinical Nutrition ESPEN แสดงให้เห็นว่า การรับประทาน NMN 250 มก. ต่อวัน เป็นเวลาประมาณ 3 เดือนทําให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น 5 เท่า และยังเพิ่มระดับของ NMN ในเลือดด้วย
NMN ช่วยเพิ่มระดับอินซูลินและ NAD+
ดร.อูชิยามา และคณะ ได้ตรวจหาผลของ NMN ต่อกระบวนเผาผลาญของร่างกายในคน ด้วยการวัดระดับของอินซูลินในเลือด ก่อนการทดลองพบว่าอินซูลินในเลือด 6.95 µIU/mL และหลังจากกิน NMN นาน 2 เดือนพบว่า อินซูลินสูงขึ้น 39.2 µIU/mL (5 เท่า) ในเดือนที่ 3 ระดับของอินซูลินลดลงเป็น 28.1 µIU/mL. ระดับอินซูลินจะตรวจวัดหลังอาหารเที่ยง และระดับน้ำตาลกลูโคสจะสูงขึ้นหลังจากการกินที่จะกระตุ้นอินซูลินให้สูงขึ้น จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า การกิน NMN นาน 2 เดือนจะเพิ่มระดับอินซูลินหลังอาหารเพื่อช่วยให้ร่างกายใช้กลูโคสเป็นพลังงาน (แทนที่จะนำไปแปลงเป็นไขมันและสะสม)
(Yamane et al., 2023 | Clinical Nutrition ESPEN) หลังจากกิน NMN 2 เดือน ระดับอินซูลินจะพุ่งสูงขึ้น 5 เท่า และเมื่อกิน NMN 3 เดือน ระดับอินซูลินลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังสูงอยู่
จากการศึกษาผลของ NMN ต่อระดับของ NAD+ ในกลุ่มชาวญี่ปุ่น ทีมวิจัยได้วัดระดับของ NAD+ หลังจากที่กิน NMN 1, 2 และ 3 เดือน และ 1 เดือนหลังจากที่หยุด NMN
พบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว NMN จะเพิ่มระดับ NAD+ ได้มากกว่า 5 เท่า หลังจากครบเดือนแรก และจะลดลงเรื่อยๆ ในเดือนที่ 2 และ 3 ระดับ NAD+ ในเลือดที่เดือนที่ 1, 2 และ 3 ของการกิน NMN ล้วนมีความสำคัญ และหลังจากหยุดกิน NMN ได้ 1 เดือ พบว่าระดับ NAD+ ลดลงเกือบเท่ากับตอนแรกเริ่ม ซึ่งการค้นพบนี้พิสูจน์ว่า NMN สามารถเพิ่ม NAD+ ในเลือดได้จริง และระดับ NAD+ ที่สูงจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ในช่วงที่กำลังกิน NMN
(Yamane et al., 2023 | Clinical Nutrition ESPEN) หลังจากที่กิน NMN 1 เดือน ระดับ NAD+ จะเพิ่มสูงขึ้นมาก จากนั้นก็จะค่อยๆ ลดลงในเดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 และเข้าเดือนที่ 4 (หลังหยุด NMN ได้ 1 เดือน) ระดับ NAD+ จะกลับมาเท่ากับตอนเริ่มต้น
การศึกษาก่อนหน้านี้ พบว่า เลือดทั้งหมด (ทั้งเม็ดเลือด, น้ำเหลืองและพลาสม่า) การกิน NMN ไม่ได้ทำให้ระดับ NMN ในเลือดสูงขึ้น ดร.ดูชิยามาและคณะ จึงได้วัดเฉพาะ NMN ในน้ำเหลือง (ไม่มีเม็ดเลือดแดง) ที่น่าสนใจ คือ พวกเขาพบว่า NMN สูงขึ้นกว่า 2 เท่าตลอดระยะเวลาที่กิน NMN และหลังจากหยุดกิน NMN ระดับของ NMN ในน้ำเหลืองจะลดลงมาเท่ากับก่อนการทดลอง
สิ่งสำคัญ คือ ค่าระดับความเข้มข้นของ NMN กระจายมากในกลุ่มคนที่เข้าร่วมการทดลอง ซึ่งบ่งชี้ว่า ความสามารถในการดูดฃึม NMN ในแต่ละคน แตกต่างกันมาก
เม็ดเลือดแดงมีผลมากต่อค่าของ NMN ที่วัดได้ และการศึกษาก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่า การกิน NMN ไม่ได้เพิ่มระดับของ NMN ในเลือดทั้งหมด ดังนั้น ระดับ NMN ในน้ำเหลือง (โดยไม่มีเม็ดเลือดแดง) ที่สูงกว่าในระดับ NMN ในเลือดทั้งหมด (Whole blood) นั่นหมายความว่า เซลล์เม็ดเลือดแดงจะนำ NMN ไปใช้อย่างรวดเร็ว
(Yamane et al., 2023 | Clinical Nutrition ESPEN) การกิน NMN จะทำให้ระับ NMN ในพลาสม่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างขัดเจน ในเดือนที่ 1, 2 และ 3 และเมื่อหยุด NMN ระดับ NMN ในพลาสม่าก็จะลดลงเท่ากับก่อนกาทดลอง
การป้องกันโรคเบาหวานด้วย NMN
การศึกษานี้ช่วยยืนยันว่า การกิน NMN ในปริมาณที่ 250 มก./วัน จะเพิ่มระดับ NAD+ ในเลือดได้อย่างมาก หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงในระหว่างที่กิน NMN ที่น่าสนใจคือ NMN ยังเพิ่มระดับของอินซูลินหลังกินอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งการวิจัยก่อนหน้านี้ พบว่า NMN จะเพิ่มความไวของกล้ามเนื้อต่ออินซูลินในผู้หญิงที่เป็นเบาหวาน ดังนั้นการผลิตอินซูลินที่มากขึ้นด้วย NMN น่าจะเป็นวิธีในการป้องกันโรคเบาหวาน ที่อินซูลินต่ำและดื้อต่ออินซูลิน
อ้างอิง
#drbunlue #NMP #NMN #NAD #ChapaGroupAndMadePhuwiang #ย้อนวัยไปกับ_drbunlue #antiaging #ชะลอวัย #สุขภาพดี #tiktokสุขภาพ #ลืมป่วย #healthy #healthycare #healthyfood #ดูแลสุขภาพ
Comentários