สำหรับ NAD+ จะเป็นสารดูดซึมผ่านทางเดินอาหารได้ยาก และคุณไม่สามารถรับประทาน NAD+ โดยตรงได้ เนื่องจาก
เรื่องแรก:- NAD+ เป็นสารที่ไวต่อความร้อนมาก ดังนั้นจึงเป็นต้องเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
เรื่องที่ 2:- การรับ NAD+ เข้าสู่กระแสเลือดไม่ว่าจะด้วยการฉีดให้ทางน้ำเกลือผ่านเส้นเลือดดำ (IV drip) หรือจะกินผ่านแคปซูล ก็ไม่ได้หมายความว่า NAD+ จะเข้าสู่เซลล์ได้โดยตรง (อ่านเพิ่มเติม)
จากการทดลองในสัตว์พบว่า การดูดซึมของ NAD+ ผ่านทางเดินอาหารไม่มีประสิทธิภาพ NAD+ จำเป็นต้องแปลงไปเป็น NR, NMN, NAM หรือ Nicotinic acid (NA) ในลำไส้ ก่อนจะถูกดูดซึมผ่านทางลำไส้ (R)
มีรีวิวงานวิจัยในปี 2020 ถึงการให้ NAD+ ทางเส้นเลือดว่า “กระบวนการเผาผลาญของการให้ NAD+ หรือ NADH ทางเส้นเลือดดำยังไม่มีความชัดเจน” (R)
ส่วน NMN เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกแปลงเป็น NAD+ ในร่างกายได้อย่างง่ายดาย นี่คือเหตุผลที่ทำให้การรับประทาน NMN capsule หรือ NMN ผงที่ละลายน้ำได้ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพกว่ามาก และไม่เจ็บตัวจากการฉีดเหมือน NAD+ และที่สำคัญคือราคาถูกกว่าการฉีด NAD+ มากทีเดียว
การดูดซึมของ NMN ในทางเดินอาหารและการเข้าสู่เซลล์
เมื่อเรารับประทาน NMN พบว่า NMN จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วจากทางเดินอาหาร และเข้าสู่กระแสเลือดภายใน 2-3 นาที โดยพุ่งสูงขึ้นใน 2.5 นาทีและยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องประมาณ 5-10 นาที จากนั้นจะหายจากกระแสเลือดในเวลา 15 นาที (R)
ขณะเดียวกันระดับ NAD+ ในเนื้อเยื่อจะสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอในเวลา 30 นาทีโดยเฉพาะที่ตับ (R)
NMN และ NR จะมีบทบาทที่สัมพันธ์กัน ดังนี้ NMN จะเปลี่ยนไปเป็น NR ในร่างกาย และเมื่อเข้าสู่ภายในเซลล์แล้ว มันจะถูกเปลี่ยนกับไปเป็น NMN โดยเอนไซม์ NRK (nicotinamide riboside kinase) และล่าสุด มีการค้นพบกลไกที่ซับซ้อนในการนำพา NMN ผ่านผนังเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์ได้โดยตรง โดยใช้เอนไซม์ที่เรียกว่า Slc12a8 (R) เมื่อ NMN เข้าสู่ภายในเซลล์แล้ว จะถูกเปลี่ยนไปเป็น NAD+ และนำไปใช้สร้างพลังงาน ATP ต่อไป
นอกจากนี้ เนื้อเยื่อต่างๆ จะเก็บสะสม NMN ไว้แตกต่างกัน และที่น่าสนใจคือ Slc12a8 จะพบได้ในลำไส้เล็กของหนูทดลองมากกว่าที่สมองและเนื้อเยื่อไขมันประมาณ 100 เท่า และยังพบด้วยว่า เชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้สามารถผลิต NMN ได้ด้วย (R) ตามรูปด้านล่าง
NMN ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก ถึงคุณสมบัติด้านการชะลอวัย และถือได้ว่าเป็น "อาหารเสริมมหัศจรรย์" อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงาน ATP ให้กับเซลล์นำไปใช้ในกิจกรรมทุกประเภทในร่างกาย ซึ่งมี NAD+ เป็นสารสำคัญในการสร้างพลังงาน ATP โดยสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไป (ร่างกายไม่สามารถนำสารอาหารไปใช้โดยตรง) จะถูกนำมาแปลงเป็น ATP โดยมีสาร NAD+ ทำหน้าที่ในการแปลงผ่านทาง Krebs Cycle หรือ TCA cycle (tricarboxylic acid cycle)
สรุป:- อาหารที่เรารับประทานเข้าไป จะถูกดูดซึมในทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือด เป็นสารอาหารต่างๆ ที่ถูกย่อยให้เล็กลง สารอาหารเหล่านี้จะผ่านผนังเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์ จากนั้นจะเข้าสู่วงจร Krebs cycle เพื่อแปลงไปเป็นพลังงานในรูป ATP ต่อไป ดังนั้นการลดน้อยลงของ NAD+ ในร่างกาย ทำให้สารอาหารที่รับประทานเข้าไป แม้ว่าจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็ไม่สามารถแปลงไปเป็นพลังงาน ATP ได้
การลดน้อยลงของ NAD+ จึงส่งผลต่อการผลิตพลังงาน ATP ได้
เซลล์ทุกชนิดในร่างกายจะใช้พลังงานในรูปแบบ ATP เป็นหลัก ซึ่งการผลิต ATP จะเกิดในไมโตคอนเดรีย ผ่านทาง Krebs cycle และจะใช้ NAD+ ในการแปลงสารอาหารเป็นพลังงาน ATP
การขาด NAD+ จึงมีผลให้พลังงานในรูป ATP↓ ลดลง → เซลล์ไม่มีพลังงานใช้ → เซลล์ลดกิจกรรม ↓
การขาด NAD+ ที่ลดลงตามวัย จึงส่งผลสุดท้ายต่อร่างกายทุกด้าน จึงเป็นที่มาของความเสื่อมของร่างกาย และจะเป็นวงจรที่แย่มากขึ้นเรื่อยๆ (Vicious cycle) ดังนั้น การเพิ่ม NAD+ เข้าไปในร่างกาย จึงเปรียบเสมือนกับการช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพิ่มขึ้นในการขับเคลื่อนกิจกรรมทุกอย่างของร่างกาย รวมทั้งการซ่อมแซม ฟื้นฟูร่างกาย
Dr. David Sinclair นักวิทยาศาสตร์ด้านชะลอวัยจาก Harvard ได้กล่าวไว้ว่า (R)
“ถ้าไม่มี NAD+ และ ATP คุณจะตายในเวลาประมาณ 30 วินาที”
อาหารที่รับประทานเข้า ต่อให้มีคุณค่าหรือราคาแพงแค่ไหน แม้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่ายกายได้มาก แต่ถ้าขาด NAD+ ก็แทบจะไม่ต่างกับการมีน้ำมันดิบจำนวนมาก แต่ไม่มีสารที่ใช้กลั่นน้ำมันดิบ (เทียบกับ NAD+) ก็ไม่สามารถนำมาเติมใส่ในรถยนต์ให้วิ่งได้ ก็เช่นเดียวกัน ที่ร่างกายก็ไม่สามารถนำสารอาหารมาใช้ได้โดยตรง
สารที่ใช้กลั่นน้ำมันดิบให้แปลงเป็นน้ำมันดีเซลล์หรือเบนซิน ก็เทียบได้กับ NAD+ ที่ใช้แปลงสารอาหารให้เป็นพลังงาน ATP
NAD IV drips และกินอาหารเสริม NMN
โดยทั่วไป Nicotinamide Adenine Dinucleotide (NAD+) ถือว่าเป็นยา ดังนั้นคุณจะต้องไปให้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกบางแห่งที่มีบริการเท่านั้น ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นคนสั่งจ่าย ซึ่งขนาดที่แพทย์มักจะสั่งจ่าย NMN คือ 200 - 500 มก. ต่อครั้ง โดยจะผสม NAD+ ลงในน้ำเกลือและหยดให้ผ่านทางเส้นเลือดดำ เป็นเวลานาน 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมงตอครั้ง และคอร์สในการให้ NAD+ ทางเส้นเลือดของแต่ละโรงพยาบาลหรือคลินิก ก็แตกต่างกันไป ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน บางแห่งอาจจะให้ เดือนแรกที่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะนัดมาให้ 1-2 ครั้งต่อเดือน นาน 3 เดือน เป็นต้น
สูตรการให้ไม่แน่นอน ขึ้นกับคอร์สของแต่ละแห่ง และราคาต่อเข็ม ก็มีราคาตั้งแต่ 4000 บาท ไปจนถึง 15000 บาทต่อครั้ง หรืออาจจะคิดเป็นคอร์ส ราคาก็จะอยู่ที่ 50,000 - 150,000 บาท/คอร์ส ขึ้นกับบรรยากาศของแต่ละสถานที่ และวิธีตั้งราคาไม่มีตายตัว นอกจากนี้คุณต้องเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อไปยังโรงพยาลาลอีกต่างหาก
นั้นหมายความว่า สิ่งที่คุณจะได้รับจากการไปใช้บริการแต่ละครั้งคือ NAD+ ผสมในน้ำเกลือ 500 มล. เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น นอกจากคุณจะขอเพิ่มสารหรือวิตามินบางอย่างเพิ่มลงไปก็ได้ (เพิ่มเงินอีกด้วยนะ)
แต่ถ้าคุณไม่ต้องการฉีด NAD+ คุณก็ยังมีทางเลือกอื่นที่ไม่เจ็บตัว ซึ่งปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก นั่นคือการรับประทานอาหารเสริม NAD+ booster ซึ่งได้แก่ NMN หรือ NR ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ NAD+
แน่นอนว่า คุณสามารถรับประทาน NMN ได้ในขนาด 250 มก. ไปจนถึง 1000 มก.ต่อวันได้ ซึ่งการดูดซึมของตามที่กล่าวข้างต้นนี้ จะทำให้ร่างกายของคุณได้รับ NAD+ ในปริมาณที่ต้องการได้ทุกวัน ซึ่งด้วยปริมาณแบบนี้ คุณจะไม่มีทางได้รับจากการฉีดเข้าเส้นเลือด นอกจากนี้ในแต่ละสูตรของแคปซูลก็จะมีสารสำคัญตัวอื่นผสมอยู่ด้วย (สูตรแต่ละแห่งก็แตกต่างกันไป) ซึ่งจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่้งกันและกัน (Synergistic) และที่สำคัญราคาก็ถูกกว่ามาก และคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล
Comments