top of page
Writer's picturedr.bunlue

น้ำมันมะกอก (Olive Oil) พร้อมอาหารเช้าช่วยลดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือด

Updated: Jan 31


น้ำมันมะกอก (Olive Oil) พร้อมอาหารเช้าช่วยลดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือด
น้ำมันมะกอก (Olive Oil) พร้อมอาหารเช้าช่วยลดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือด

ผู้หญิงสูงอายุที่รับประทานน้ำมันมะกอกหรือมาการีนพร้อมอาหารเช้า จะมีโมเลกุลของการอักเสบหมุนเวียนในกระแสเลือดน้อยกว่าผู้ที่รับประทานเนย ซึ่งจะบอกได้ว่า ไขมันชนิดใดที่มีประโยชน์กับเส้นเลือดและหัวใจในคนสูงวัย


ความกังวลที่ว่า จะกิน อะไรดี อาจจะยังไม่เพียงพอ จากการศึกษาวิจัยระบุว่า ควรกิน เมื่อไร ก็มีความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีในผู้สูงวัยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะไม่ซับซ้อนเกินไป ตามที่มีการศึกษาจาก Universidad Católica de Murcia ในสเปนได้นำเสนอ 


ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Nutrients, Delgado-Alarcon และเพื่อนร่วมงานแสดงให้เห็นว่า เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก (แทนมาการีนหรือเนย) พร้อมอาหารเช้า จะทำให้โมเลกุลการอักเสบ IL-6 (interleukin-6) และ CRP (C-reactiveโปรตีน) ลดต่ำลง และจากงานวิจัยยังแสดงให้เห็นด้วยว่า เมื่อรับประทานมาการีนพร้อมอาหารเช้า จะทำให้ EGF (Epidermal growth factor) ลดลง



“การเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา เช่น การเปลี่ยนประเภทของไขมันที่รับประทานในมื้อเช้า อาจเพียงพอที่จะเปลี่ยนลักษณะการอักเสบของแต่ละคนได้”

การเปลี่ยนแปลงนี้ ฟังดูแล้วอาจจะคุ้มค่า เมื่อพิจารณาว่าการอักเสบมีความเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอายุ รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง และหลอดเลือดแดงอุดตัน



น้ำมันมะกอก (Olive oil) ในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้


ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นสตรีที่อยู่ในสถาบัน ซึ่งช่วยให้นักวิจัยควบคุมอาหารแต่ละมื้อได้อย่างแม่นยำ ผู้เข้าร่วมทั้งหมด 51 คน ซึ่งมีอายุประมาณ 65 ปีและมีน้ำหนักเกิน และทุกคนได้อยู่ครบจนเสร็จสิ้นการศึกษานี้ ผู้เข้าร่วมถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม และแต่ละกลุ่มรับประทานอาหารเช้า ซึ่งประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง และไขมัน 20 กรัม ได้แก่ มาการีน (ไม่มีไขมันทรานส์) เนย (Butter) หรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin Olive oil)


หลังจากผ่านไป 30 วัน นักวิจัยพบว่า ผู้เข้าร่วมในกลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะกอกมี IL-6 ลดลง 24.5% ในขณะที่ผู้เข้าร่วมจากกลุ่มที่ได้รับมาการีนและเนยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ IL-6 และ CRP ยังลดลงในกลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะกอกมากกว่าในกลุ่มมาการีน ซึ่งบ่งบอกว่า น้ำมันมะกอกมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบได้



“การลดลงของ IL-6 พร้อมทั้ง CRP มีผลอย่างมากต่อการจัดการโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Atherosclerosis) เนื่องจากการศึกษาก่อนหน้านี้หลายครั้งในมนุษย์แสดงให้เห็นว่า ระดับที่สูงขึ้นของปัจจัยเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น” ผู้เขียนกล่าว





น้ำมันมะกอกในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้
น้ำมันมะกอกในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้

Delgado-Alarcon et al., 2023 | Nutrients - น้ำมันมะกอกในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง (mono-unsaturated fatty acids) (MUFA สีเขียว) กินพร้อมอาหารเช้า ช่วยลดโมเลกุลการอักเสบ IL-6 (ซ้าย) และ CRP (ขวา) มากกว่ามาการีน ที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง (poly-unsaturated fatty acids) (PUFA สีฟ้า) ระบุด้วยเครื่องหมาย *, เนยซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง (SFA, สีแดง) ไม่มีผลต่อเปลี่ยนแปลงตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ 



ในทางกลับกันของ IL-6 และ CRP, คนที่ได้รับน้ำมันมะกอกพร้อมอาหารเช้า จะมีระดับ EGF เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การกินมาการีนพร้อมอาหารเช้า ยังช่วยลดระดับ EGF ด้วย สรุปโดยรวมแล้ว กลุ่มที่กินมาการีน จะมีระดับ EGF ต่ำกว่ากลุ่มที่กินน้ำมันมะกอก การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า มาการีนช่วยลดปัจจัยการอักเสบบางอย่างได้ ในขณะที่น้ำมันมะกอกช่วยลดปัจจัยอื่นๆ เมื่อรับประทานเป็นอาหารเช้า ผู้เขียนกล่าวว่า



“อาหารเช้า (ที่ใส่มาการีน) ก็อาจเพียงพอ เนื่องจากว่าผลของอาหารเช้าต่อค่าพารามิเตอร์ส่วนใหญ่ที่ศึกษาจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่ก็พบว่าค่า EGF ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะน่าสนใจที่จะช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรคหัวใจและหลอดเลือด”

การกินมารารีนแทนน้ำมันมะกอกในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้
การกินมารารีนแทนน้ำมันมะกอกในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้

Delgado-Alarcon et al., 2023 | Nutrients การกินมาการีนแทนน้ำมันมะกอกในมื้อเช้าช่วยลดการอักเสบได้ มาการีนที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง (PUFA สีฟ้า) กินพร้อมอาหารเช้าจะช่วยลดตัวชี้วัดการอักเสบ EGF มากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง (MUFA สีเขียว) ระบุด้วยเครื่องหมาย *** เนยที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง (SFA, สีแดง) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงค่านี้อย่างมีนัยสำคัญ


เนื่องจากมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า IL-6 และ CRP มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของการแก่ชราของหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า EGF ผู้เขียนสรุปว่า 


“การเสริมอาหารเช้าด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ สามารถเพิ่มฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจมีส่วนช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด”




ประเภทของไขมัน


เมื่อพูดถึงการสูงวัยอย่างมีสุขภาพดี การรักษาอาการอักเสบให้น้อยที่สุดเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการสูงวัย ดังนั้นการเลือกไขมันที่ทำให้เกิดการอักเสบน้อยที่สุดอาจช่วยชะลอกระบวนการชราได้


ไขมันที่ส่งเสริมการอักเสบ ได้แก่ ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และไขมัน Omega-6 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน


  • ไขมันอิ่มตัว (Saturated fats) พบได้ในเนย เนื้อวัว และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่นๆ

  • ไขมันทรานส์ (Trans fats) พบได้ในขนมอบ เช่น ขนมอบ แป้งพิซซ่า และคุกกี้

  • Omega-6 polyunsaturated fats พบได้ในข้าวโพด ดอกคำฝอย ถั่วเหลือง และน้ำมันดอกทานตะวัน ซึ่งจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อน 



ไขมันที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งถือเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ รวมทั้ง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Mono-unsaturated fats) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน Omega-3 (polyunsaturated fats)


  • Mono-unsaturated fats สามารถพบได้ใน น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันจากถั่ว เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ และอะโวคาโด

  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนโอเมก้า 3 สามารถพบได้ใน ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล รวมถึงในถั่ว เช่น วอลนัท และ pine nut 


นอกจากนี้ การศึกษาก่อนหน้านี้ยังแสดงให้เห็นว่า การกินไขมันมากขึ้นในตอนเช้าเมื่อเทียบกับตอนกลางคืนอาจช่วยลดอาการอักเสบได้ เนื่องจากการรับประทานอาหารดึก จะรบกวนวงจรการนอนหลับและการตื่นของเรา และกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติของระบบการเผาผลาญ ดังนั้นการบริโภคไขมันส่วนใหญ่ในตอนเช้าในรูปของไขมันที่ดีต่อสุขภาพเช่น น้ำมันมะกอก จึงสามารถบรรเทาอาการอักเสบและต่อต้านความชราได้มากที่สุด 


--------

ผู้เข้าร่วมและขนาดที่ใช้

ผู้เข้าร่วม: ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินอายุ 64 ± 18 ปี

ขนาดที่ใช้: น้ำมันมะกอก 20 กรัม (ส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว) แทนมาการีนในตอนเช้า

--------





Source


M., J., Hernández Morante, J. J., & M., J. (2023). Modification of Breakfast Fat Composition Can Modulate Cytokine and Other Inflammatory Mediators in Women: A Randomized Crossover Trial. Nutrients, 15(17), 3711. https://doi.org/10.3390/nu15173711

Comments


สินค้าขายดี

bottom of page