top of page
NMN คืออะไร?

NMN ย่อมาจาก Nicotinamide mononucleotide - เป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด  เป็นโมเลกุลที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (Nucleotide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสําคัญของ RNA และ DNA   

โครงสร้าง NMN ประกอบด้วยกลุ่มสารเคมีหลัก 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟอสเฟต (Phosphate group), น้ําตาลไรโบส (Ribose sugar) และ กลุ่มนิโคตินาไมด์ (Nicotinamide base)  

NMN จะถูกเปลี่ยนเป็น NAD+ (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) โดยตรงเมื่อเข้าสู่ร่างกาย  จึงเรียก NMN อีกอย่างว่า NAD+ booster 

NMN-NR-NAD.png

NAD+ คืออะไร?

NAD+ ย่อมาจาก Nicotinamide Adenine Dinucleotide 

เป็นโคเอ็นไซม์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในทุกเซลล์ของร่างกาย มีความสำคัญต่อการฟื้นฟูในระดับเซลล์และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างพลังงานที่เกิดในไมโตคอนเดรีย ผ่านทาง Krebs Cycle 

เนื่องจาก NAD+ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วในทางเดินอาหาร  ทำให้ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้   จึงต้องฉีดให้ทางเส้นเลือดเท่านั้น NMN  จึงเป็นสารตั้งต้นที่เหมาะสมที่สุด

 

เมื่อรับประทาน NMN เข้าสู่ร่างกาย  NMN จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในลำไส้ เข้าสู่กระแสเลือด และตรวจพบในเลือดได้ภายใน 5 นาที และระดับ NMN ในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น จากนั้นจะลดลงจากกระแสเลือดภายใน 15 นาที  โดย NMN จะเปลี่ยนไปเป็น NR (Nicotinamide Riboside) เพื่อให้ผ่านผนังเซลล์ จากนั้นจะแปลงกลับไปเป็น NMN อีกครั้งภายในเซลล์ และเปลี่ยนไปเป็น NAD+ ก่อนนำไปใช้สร้างพลังงานในไมโตคอนเดรียต่อไป

ความสำคัญในการบูสต์เพิ่ม NAD+ ด้วย NMN

NAD+ พบได้มากที่สุดในร่างกายรองจากน้ำ เป็น Coenzyme ที่สำคัญ และมีบทบาทหลักในการสร้างพลังงานของเซลล์ (เกิดในไมโตคอนเดรีย) ซึ่งสารอาหารจะถูกแปลงไปเป็นพลังงานผ่านทาง Krebs cycle (หรือ TCA cycle (Tricarboxylic acid cycle หรือ Citric acid cycle)  ที่มีอยู่ทั้งหมด 8 ขั้นตอน ก่อนจะได้เป็นพลังงานในรูปของ ATP และเซลล์จะนำ ATP ไปใช้ในกิจกรรมทุกอย่างของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งใน 8 ขั้นตอนนี้ ต้องใช้ NAD+ (Nicotinamide Adenide Dinucleotide)  ถึง 3 step ด้วยกัน ดังนั้นถ้าขาด NAD+ ก็จะทำให้ การสร้างพลังงานของเซลล์ มีปัญหาทันที - ตามรูปด้านล่าง

Anchor 1

ระดับของ NAD+ จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นการบูสต์เพิ่ม NAD+ ให้กับร่างกายจึงมีความสำคัญ และ NMN จัดได้ว่าเป็นสารสำคัญที่สามารถเพิ่มระดับ NAD+ ในร่างกายได้ผลดีที่สุด ทำให้กิจกรรมต่างๆ ของเซลล์เป็นไปตามปกติ ซึ่งก็มีงานวิจัยที่สนับสนุนเรื่องผลจากการชะลอวัยและสุขภาพที่ดีขึ้น จากการบูสต์ NAD+ ให้สูงขึ้นด้วย NMN

nad-2.png

เมื่อเราอายุมากขึ้น ระดับของ NAD+ จะลดลงเรื่อยๆ ตามกราฟข้างบน เมื่ออายุช่วง 50 ปี ระดับ ในร่างกายจะลดลงเหลือ 50% เมื่อเทียบกับตอนแรกเกิด และเมื่ออายุมากกว่า 60 ปี ระดับ NAD+ ในร่างกายจะเหลือเพียง 1-10% เท่านั้น ซึ่งการลดลงของ NAD+ เป็นผลจากการทำลายของเอ็นไซม์ CD38   

มีการทดลองในหนู ที่ได้รับ CD38 Inhibitor (Apigenin ซึ่งเป็นฟลาโวนที่พบในพืช) ทำให้ระดับ CD38 ลดน้อยลง พบว่า ระดับของ NAD+ เพิ่มขึ้นและมีความต้านทานต่ออาหารไขมันสูง 

ตามที่ ดร.เดวิด ซินแคลร์ กล่าวว่า ร่างกายเราสูญเสีย NAD+ ไปตอนที่อายุมากขึ้น ร่วมกับการทำงานของเซอร์ทูอินที่ลดลง เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ร่างกายเราเสื่อมและเป็นโรคอื่นๆ ตามมาเมื่อเรามีอายุ แต่เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เจอในคนอายุน้อย

นอกจาก NMN แล้ว ก็ยังมีสารในกลุ่มโพลีฟีนอล (ที่ได้จากพืชและช่วยให้อายุยืนได้), การออกกำลังกาย และการจำกัดแคลอรี่ ก็สามารถกระตุ้นให้เพิ่มระดับของ NAD+ และกระตุ้นเซอร์ทูอินได้ด้วย   นอกเหนือจากการช่วยเพิ่มการอยู่รอดของเซลล์และปกป้อง DNA (ความเสถียรของจีโนม) แล้ว sirtuins ยังให้ประโยชน์อีกมากมาย

เซอร์ทูอินช่วยป้องกันโรคเบาหวานและไขมันพอกตับ โดยเพิ่มการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน, เสริมการเผาผลาญไขมันในตับ และเพิ่มการผลิตกลูโคสในตับ    เซอร์ทูอินยังป้องกัน sarcopenia และการเสื่อมของระบบประสาท 

NAD+ กระตุ้นเอ็นไซม์ Sirtuins

 

NAD+ เป็นเชื้อเพลิงให้กับเอ็นไซม์ที่สำคัญมากตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือ เซอร์ทูอิน (Sirtuins) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการซ่อมแซม DNA และช่วยให้ไมโตคอนเดรียแข็งแรง 

ไมโตคอนเดรียเป็นแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์ ที่จะออกมาในรูปของ ATP ตามที่กล่าวถึง  ดังนั้นถ้า DNA ถูกทำลายมาก ก็จะทำให้เซลล์ตายได้ ซึ่ง Sirtuin จะมีบทบาทในการซ่อมแซม DNA ทำให้เซลล์รอดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และรักษาไมโตคอนเดรียให้แข็งแรง

NAD+ ช่วยควบคุมความเสียหายของ DNA

เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์จะได้รับความเสียหายจาก DNA เนื่องจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น รังสี มลพิษ และ การจําลอง DNA ที่ผิดพลาด (DNA replication)   ตามทฤษฎีแล้ว การสะสมของ DNA ที่เสียหายเมื่ออายุมากขึ้น จะเป็นสาเหตุหลักของความแก่ชรา ซึ่งเซลล์จะมีเครื่องมือในการซ่อมแซมนี้ และเครื่องมือนี้ต้องใช้ ์NAD+ เป็นพลังงาน  ดังนั้นความเสียหายของ DNA ที่มากเกิน อาจจะทำให้ต้องใช้ NAD+ จำนวนมากในการซ่อมแซม

โปรตีนตัวหนึ่งที่มีความสำคัญในการซ่อมแซม DNA ก็คือ PARP (Poly (ADP-ribose) polymerase) ที่การทำงานขึ้นกับ NAD+   เมื่อเราอายุมากขึ้น พบว่าระดับ NAD+ ลดลง   ความเสียหายของ DNA ที่สะสมมากขึ้นอันเป็นผลมาจากกระบวนการแก่ชราตามปกติ จะทำให้ PARP เพิ่มขึ้น ซึ่งทําให้ระดับของ NAD+ ลดลง และการสูญเสียนี้จะรุนแรงเพิ่มขึ้น จากความเสียหายของ DNA ที่มากขึ้นในไมโตคอนเดรีย

bottom of page